"น้ำ" เป็นมากกว่าเครื่องดื่ม

วันพุธที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2553

ร่างกายของเราประกอบไปด้วยน้ำ ผู้ชายร้อยละ 60 ส่วนผู้หญิงร้อยละ 50 น้ำเป็นส่วนประกอบของเซลล์ต่างๆ ความต้องการน้ำจะแตกต่างกันตามอายุ ขนาดของร่างกาย กิจกรรม และสภาพแวดล้อม เป็นตัวทำละลายและช่วยในการขนส่งสารอาหารและของเสีย ช่วยในการเผาผลาญสารอาหารให้เป็นพลังงาน ช่วยหล่อลื่นข้อต่อต่างๆ และควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย

อาทิ ในขณะออกกำลังกาย ความร้อนบริเวณกล้ามเนื้อจะระบายออกในรูปแบบของเหงื่อ หากออกำลังกายหนักเป็นเวลานาน จะสูญเสียน้ำเป็นจำนวนมาก หาไม่ได้น้ำทดแทนอย่างเพียงพออาจเกิดภาวะขาดน้ำ โดยจะมีอาการ กระหายน้ำ หอบ ปากแห้ง หน้ามืด เวียนศรีษะ ตาลาย และ หากไม่ได้รับการรักษา อาจอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้

ข้อเสนอแนะในการป้องกันภาวะขาดน้ำ
  1. ควรดื่มน้ำตามเวลาที่กำหนด อย่ารอจนกว่ารู้สึกกระหายน้ำ
  2. ควรดื่มน้ำ 400-600 มิลลิลิตร ก่อนออกกำลังกายทุก 2 ชั่วโมง
  3. ควรดื่มน้ำ 150-300 มิลลิลิตร ขณะออกกำลังกายทุก 15-20 นาที
นอกจากนั้น การดื่มน้ำก่อนอาหาร หรือระหว่างมื้ออาหาร สามารถช่วยลดพลังงานจากอาหารที่ได้รับเพียงเล็กน้อยเท่านั้น บางท่านอาจเคยทราบว่า น้ำ ช่วยลดน้ำหนักได้ จะเห็นผลก็ต่อเมื่อดื่มน้ำเปล่าแทนเครื่องดื่มที่ให้พลังงานสูง การรับประทานอาหารที่มีน้ำเยอะ อย่าง ผัก ผลไม้ ปลา เกาเหลา ซุป ทำให้รู้สึกอิ่มนาน ด้วยปริมาณเยอะแต่ให้พลังงานต่ำ อีกทั้งยังสามารถลดน้ำหนักได้ดีกว่ารับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำซะอีก

ทางด้านสุขภาพ หาร่างกายขาดน้ำ อาจส่งผลให้เกิดความเจ็บป่วย และร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ แต่ถ้าขาดทั้งน้ำ ขาดทั้งสารอาหารนี่ยิ่งแย่ใหญ่ เพราะฉะนั้นเราควรหันมาดูแลใส่ใจสุขภาพร่างกาย ด้วยการดื่มน้ำและรับประทานอาหารให้เพียงพอ
อ่านต่อ... “ "น้ำ" เป็นมากกว่าเครื่องดื่ม ”

กินจุบกินจิบแล้วสิวเห่อ

วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553


แต่เดิมไม่เชื่อว่าขนมหวาน หรือช็อกโกแลตทำให้ สิวเห่อแต่ในขณะนี้มีงานวิจัยแสดงว่าอาหารที่มีน้ำตาลสูงทำให้มีอินซูลินในเลือดสูงขึ้น ซึ่งภาวะนี้นำไปสู่ การมี insulin-like growth factor 1 (IGF—1) ในเลือดสูงขึ้นพบว่า IGF-1 ทำให้ผิวหนังแบ่งตัวเร็วและหนาตัวขึ้น จึงทำให้เกิดก้อนไขมันอุดตันในรูขุมขนและเกิดสิวตามมา นอกจากนั้น IGF-1 และอินซูลินยังกระตุ้นการผสิตแอนโดรเจน ที่ทราบกันดีว่าเป็นตัวเพิ่มการผลิตไขมัน ปัจจุบันจึงเชื่อว่าการกินขนมหวานที่มีน้ำตาลสูงน่าจะกระตุ้นให้สิวกำเริบได้จริง ส่วนคำถามที่ว่าดื่มนมมากๆ ทำให้สิวเห่อได้ไหมนั้น ก็เป็นที่ถกเถียงกันมานาน ปัจจุบันพบว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างการดื่มนมและการเป็นสิวจริง มีรายงานว่านมมีส่วนเพิ่มระดับของ IGF-1 ดังนั้นบทบาท ของ IGF-1 ในกรณีนี้จึงอาจเกี่ยวข้องกับสิวเช่นเดียวกับในกรณีของอาหารที่ให้น้ำตาลสูง

นอกจากนั้นในน้ำนมวัวยังมีฮอร์โมนที่ กระตุ้นให้เกิดสิวอุดตัน เช่น เอสโตรเจน โปรเจสเตอโรน ซึ่งแอนโดรเจน และสารไอโอดีนในน้ำนมก็ทำให้สิวกำเริบได้ การดื่ม นมและกินผลิตภัณฑ์จากนม เช่น เนยมากๆ จึงอาจกระตุ้นให้สิวเห่อได้ ดังนั้นการกินจุบกินจิบโดยเฉพาะขนมหวาน เค้ก คุกกี้ ช็อกโกแลต ที่มีส่วนผสมของน้ำตาล แป้ง (ย่อยเป็นนํ้าตาลง่าย) นม และผลิตภัณฑ์จากนม เช่น เนย ทำให้ลิวเห่อได้จริงครับ
อ่านต่อ... “ กินจุบกินจิบแล้วสิวเห่อ ”

ยุงลายพาหะโรคไข้เลือดออก และโรคชิคุนกุนยา

วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2553



เมื่อเริ่มเข้าสู่ฤดูฝน ประเทศไทยมักเผชิญกับการระบาด ของโรคไข้เลือดออกเป็นประจำทุกปี ซึ่งข้อสังเกตของโรคไข้เลือดออกคือ ไข้ขึ้นสูง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดท้อง อาเจียน ท้องเสีย มีจุดเลือดออกขนาดเล็กหรือเป็นผื่นแดงขึ้นตามตัวทั้งนี้ยังมีโรคอีกชนิดที่กรมวิทยาศาสตร์เตือนให้ประชาชนเฝ้าระวัง เช่นเดียวกับไข้เลือดออก นั่นก็คือโรคชิคุนกุนยา

โรคชิคุนกุนยาเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสชิคุนกุนยา ที่มียุงลายเป็นพาหะเช่นเดียวกับโรคไข้เลือดออก แม้จะมีลักษณะอาการคล้ายกันแต่ก็มีอาการและความรุนแรงต่างกันสำหรับผู้ติดเชื้อไวรัสชิคุนกุนยาจะมีอาการไข้สูงฉับพลัน มีผื่นแดงตามร่างกาย และอาจมีอาการคันร่วมด้วย พบว่าตาแดง แต่ไม่พบจุดเลือดออก ในตาขาว เด็กที่ติดเชื้อจะมีอาการรุนแรงไม่เท่าผู้ใหญ่ ซึ่งจะมีอาการปวดตามข้อมือ ข้อเท้าหรือปวดจนขยับข้อไม่ได้ ซึ่งอาการปวดอาจหายภายใน 1-2 สัปดาห์ ขณะที่บางรายมีอาการปวด อีก 2-3 สัปดาห์ให้หลัง หรืออาจปวดนานเป็นเดือนหรือปี แต่อาการจะไม่รุนแรงถึงขั้นช็อก

ทั้งนี้คนที่มีอาการหรือสงลัยว่าจะติดเชื้อจำเป็นต้องได้รับการเจาะเลือดและตรวจวิเคราะห์ผ่านห้องปฏิบัติการเพื่อยืนยันว่าติดเชื้อชนิดใด ซึ่งแพทย์สามารถให้การรักษาที่ถูกต้องต่อไป

แต่ไม่ว่าจะเป็นโรคไข้เลือดออกหรือโรคชิคุนกุนยา เราจำเป็นต้องระวังไม่ให้ยุงลายกัด และทำลายแหล่งเพาะพันธุของยุง เช่น ยางล้อรถยนต์ แจกัน จานรองกระถางต้นไม้ ตุ่มหรือ โอ่งที่ไม่มีฝาปิด รางนํ้าขัง ฯลฯ
อ่านต่อ... “ ยุงลายพาหะโรคไข้เลือดออก และโรคชิคุนกุนยา ”

สวยด้วยสารพิษ [Botox]

วันเสาร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2553



เร็วๆ นี้มีดาราท่านหนึ่งออกมาร้องเรียนผ่านหน้าหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ถึงประสบการณ์ร้ายเกี่ยวกับการฉีดยาโบท็อกซ์ ที่ทำให้หน้าดูหนุ่มกว่าวัย (แสดงว่าเดี๋ยวนี้ท่านชายก็ไม่แพ้สาวๆ ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องใบหน้ามากพอๆ กัน) เหตุการณ์คร่าวๆ คือดาราชายท่านนั้นเห็นว่าเพื่อนมีสิทธิได้รับการฉีดยาด้วยโบท็อกซ์จากสถานพยาบาลแห่งนั้นฟรีๆ แต่ไม่ใช้สิทธิ์ตนจึงอาสาไปใช้สิทธิ์นั้นแทน โดยหวังจะให้รอยย่นที่หน้าผากหายไป แต่เหตุการณ์ไม่เป็นไปดังคาด เพราะภายหลังการฉีดยาไม่เพียงแต่รอยย่นที่หายไปและทำให้หน้าผากตึงขึ้น แต่กลับมีหนังตาช้างหนึ่งกลับหย่อนตกลงมา (ตาตก) ทำให้หนังตามาปิดการมองเห็น ส่งผลกระทบต่ออาชีพของนักแสดงท่านนั้น จึงออกมาเรียกร้องความรับผิดชอบจากแพทย์ผู้ให้การรักษาและสถานพยาบาลนั้น เรามาทำความเช้าใจกับเรื่องโบท็อกซ์ให้ดีกว่านี้ แล้ววจะทราบว่าการฉีดโบท็อกซ์ที่ถือว่าค่อนข้างปลอดภัยทำไมจึงมีปัญหาเกิดขึ้นได้อีก


โบท็อกช์คืออะไร?

"โบท็อกซ์" (Botox) เป็นชื่อการค้าของสารพิษที่เรียกว่า "โบทูลินั่ม ท็อกชิน เอ (Botulinum toxin type A)" ซึ่งเป็นโปรตีนที่สร้างจากแบคทีเรีย ชื่อ คลอสตริเดียม โบทูลินั่ม (Clostridium botu- แทนทา) โดยปกติแล้วโปรตีนนี้ถือเป็นสารพิษร้ายแรงที่ก่อให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษ แก่มนุษย์ และนับได้ว่าสารนี้เป็นพิษที่ร้ายแรงที่สุดชนิดหนึ่งบนโลกมนุษย์ใบนี้ ซึ่งพบได้จากอาหารกระป๋องที่มีการปนเปื้อนเชื้อนี้ หากร่างกายมนุษย์ได้รับโปรตีนนี้เข้าไป จะทำให้เกิดอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อต่างๆ และเมื่อได้รับในปริมาณมาก จะเกิดภาวะการหายใจล้มเหลวเพราะกล้ามเนื้อที่ใช้ในการหายใจหมดแรง (เป็นอัมพาต) ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาด้วยการช่วยหายใจ จะเสียชีวิตทุกรายเพราะสารพิษนี้ไม่มียาต้านโดยตรงในทางการแพทย์เมื่อพบว่าโปรตีนนี้มีผลทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงได้ จึงทำการดัดแปลงและลดปริมาณสารพิษนื้ลงโดยการทำให้พิษอ่อนลงมาก เพียงเพื่อหวังผลให้กล้ามเนื้อที่ได้รับสารนี้เข้าไปเกิดอาการอ่อนแรงเฉพาะส่วน (กล้ามเนี้อคลายตัว) ซึ่งในทางเสริมสวยจะนำสารนี้มาฉีดตรงกล้ามเนื้อที่เกิดรอยย่นบริเวณใบหน้าและ ลำคอ เพื่อให้ผิวหนังปราศจากรอยย่นจากกล้ามเนื้อที่อยู่ข้างใต้และกลับมาดูเต่งตึงเหมือนหนุ่มสาว


การใช้โบท็อกซ์ในทางการแพทย์

เดิมทีนี้นแพทย์มักจะใช้สารพิษชนิดนื้มาทำให้กล้ามเนื้อบางมัดมีการคลายตัวเพื่อใช้รักษาโรค เช่น ในรายที่มีอาการตาเหล่ ตาเข (strabismus, crossed eyes) ทำให้ตาสองข้างไม่สามัคคีกัน เนื่องจากมีกล้ามเนื้อบางมัดทำงานมากกว่าบางมัด แต่ภายหลังการฉีดยานื้มีการสังเกตุว่ายาที่กระจายไปโดนกล้ามเนื้อรอบตาหรือหน้าผากจะทำให้กล้ามเนื้อมัดนั้นคลายตัวและ มีผลทำให้รอยย่นบนผิวหนังหายไปตามการคลายตัวของกล้ามเนื้อนั้นด้วย

นอกจากการรักษาตาเหล่ ตาเขแล้ว ผู้ที่มีอาการกล้ามเนื้อกระตุกอย่างรุนแรงที่ไม่สามารถควบคุมได้ด้วยวิธีการรักษาอื่นก็จะได้รับการฉีดยาตัวนื้เพื่อให้มีการคลายตัวของกล้ามเนื้อและลดอาการกระตุกลง


การใช้โบท็อกซ์ในการเสริมสวย

เมื่อนำสารพิษโบท็อกซ์ที่ได้จากการดัดแปลงนื้มาใช้ในปริมาณเพียง เล็กน้อยฉีดเข้ายังส่วนของกล้ามเนื้อเฉพาะที่จะมีผลทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวและรอยย่นที่อยู่เหนือกล้ามเนื้อหายไป ทำให้ใบหน้าดูเต่งตึงและอ่อนเยาว์ลง (Face lift) ได้ภายใน 3-4 วันหลังได้รับยา แต่การเห็นผลชัดเจนอาจต้องรอนานถึง 10-14 วัน และจะมีฤทธิ์คงอยู่ได้นาน 4-6 เดือน และหากต้องการให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมก็ต้องกลับมารับการฉีดยาใหม่อีก สิงที่ต้องระวังคือหากกล้ามเนื้อนั้นได้รับยาบ่อยๆ จะทำให้ลีบตัวในระยะยาวได้ ซึ่งหมายความว่า กล้ามเนื้อนั้นเป็นอัมพาตถาวรในอนาคต


เขาฉีดยากันที่ส่วนไหน

ตำแหน่งเป้าหมายของการฉีดโบท็อกซ์คือตำแหน่งที่ทำให้เกิดรอยย่นที่บอกถึงประสบการณ์ชีวิต โดยตำแหน่งยอดฮิตที่สุดคือ "ตีนกา" รอยย่นบริเวณหางตาสองข้างนั่นเอง ส่วนตำแหน่งอื่นๆ ได้แก่ หน้าผาก บริเวณระหว่าง หัวคิ้วสองข้าง (ขมวดคิ้ว) รอบดวงตา รอบ ปาก และรอยย่นตามลำคอ ส่วนรอยย่น บริเวณมุมปากนั้นมักไม่นิยมฉีดกันเนื่องจาก อาจเกิดผลข้างเคียงทำให้ไม่สามารถเคี้ยว อาหารได้ตามปกติ

นอกจากบริเวณดังกล่าวแล้วใน ปัจจุบันยังมีการฉีดยานี้ในส่วนอื่นของร่างกาย เช่น กล้ามเนื้อใบหน้าบริเวณมุมกราม เพื่อทำให้กล้ามเนื้อฝ่อลีบลงและทำให้หน้าดูเรียวขึ้น (ซึ่งต้องคำนึงถึงข้อเสียเรื่องการใช้ขากรรไกรในการเคี้ยวอาหาร) หรือ การฉีดยาบริเวณกล้ามเนื้อน่อง เพื่อให้กล้ามเนื้อลีบลงและขาดูเรียวขึ้นกว่าเดิม


ผลอันไม่พึงประสงค์จากการฉีดยา

แม้ว่าการฉีดยาโบท็อกซ์จะทำได้ง่ายรวดเร็ว โดยที่ผู้รับการฉีดไม่จำเป็นต้องนอนในโรงพยาบาลแต่อย่างใด ใช้เวลาเพียงแค่ไม่เกิน 10-15 นาทีทุกอย่าง ก็เรียบร้อย นอกจากอาการเจ็บปวดตรงตำแหน่งที่ฉีดยา หรือการติดเชื้อเนื่องจากการฉีดยาแล้ว ผลไม่เป็นไปตามที่ต้องการก็อาจเกิดขึ้นได้จากการฉีดยาผิดตำแหน่ง หรือการที่ยากระจายไปยังกล้ามเนื้อที่ไม่เกี่ยวข้อง ทำให้เกิดอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อมัดนั้นขึ้นมาได้ ซึ่งในกรณีตัวอย่างที่เกิดกับ ดาราชาย ก็จากเหตุผลข้อนี้ คือแทนที่ยาจะอยู่เฉพาะตรงกล้ามเนื้อหน้าผาก แต่ยากลับไหลหรือกระจายไปโดนกล้ามเนื้อที่มีหน้าที่ในการยกหนังตาขึ้นส่งผลทำให้กล้ามเนื้อนี้เป็นอัมพาตและแสดงออกมาใน รูปแบบที่ไม่สามารถลืมตาข้างดังกล่าวขึ้นได้ (ด้วยเหตุนี้แพทย์มักจะแนะนำมิให้มีการนวดคลึงบริเวณที่ได้รับการฉีดยา หรือแม้แต่การขยี้ตาภายหลังการฉีดยา เพื่อป้องกันมิให้ยาแพร่กระจายไปนอกบริเวณที่ฉีดยา) และแม้แต่การฉีดยาที่ถูกตำแหน่งแต่หากผู้ที่ได้รับการฉีดตอบสนองต่อยามากกว่าปกติ ก็อาจทำให้เกิดผลอันไม่พึงประสงค์ขึ้นได้เช่นกัน นอกเหนือจากการที่ยากระจายไป นอกบริเวณที่แพทย์ต้องการดังกล่าวแล้ว ผลข้างเคียงอย่างอื่นที่อาจพบได้ภายหลังการฉีดยาหลายๆ ครั้ง เช่น คิ้วสองข้างมีลักษณะไม่สมมาตร คือคิ้วสองข้างผิดรูปไปไม่เหมือนกัน เพราะการคงอยู่ของฤทธิ์ยาที่อาจไม่เท่ากัน รวมทั้งการที่กล้ามเนื้อฝ่อตัวลงไม่เท่ากัน เพราะการไม่ได้ใช้งานของกล้ามเนื้อมัดนั้นนานๆ


การคงอยู่ของโบท็อทช์ในร่างกาย

โบท็อกซ์จะไม่มีการสะสมในร่างกายภายใน 4-6 เดือนยาจะสลาย ตัวและหมดฤทธิ์ไปเองทำให้กล้ามเนื้อกลับมา ทำงานได้ดังเดิมอีก แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าตำแหน่งที่ฉีดนั้นเคยโดนฉีดมาก่อนหน้านี้หรือไม่ เป็นการฉีดในผู้ที่มีอายุมากหรือน้อย และฉีดในปริมาณมากน้อยเพียงใดและในตำแหน่งใด เช่น ในรายที่โดนฉีดมาก่อนหลายครั้ง อาจทำให้กล้ามเนื้อเป็นอัมพาตอยู่นานกว่าคนที่เพิ่งจะได้รับเป็นครั้งแรก


ข้อห้ามนการไช้โบท็อกซ์

จากคำแนะนำขององค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา ห้ามการใช้ยานื้ในผู้ที่มีปัญหาโรคทางระบบประสาท โรคทาง กล้ามเนื้อ หรือสตรีที่อยู่ระหว่างการตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร


อันตรายของโบท็อกช์

ที่ผ่านมามีการใช้โบท็อกซ์เพื่อรักษาผู้ป่วยโรคตาเหล่ ตาเขตั้งแต่ ปี พ.ศ.2532 และมีการใช้เพื่อเสริมความงามตั้งแต่ปี พ.ศ.2545 และนับตั้งแต่นั้นมากล่าวได้ว่าอุตสาหกรรมเสริมความงามได้มีการเติบโตเร็วที่สุด ด้วยอิทธิพลของโบท็อกซ์ สำหรับการฉีดโบท็อกซ์เพื่อลดรอยเหี่ยวย่นนั้นยังไม่เคยมีรายงานผู้ที่ได้รับโบท็อกซ์แล้วเป็นอันตรายถึงชีวิต ยิ่งหากได้รับยาจากผู้ที่เป็นแพทย์ตัวจริง คงเรียกได้ว่ามีความปลอดภัยสูง แต่เมื่อไม่นานมานี้เริ่ม มีการรายงานถึงการแพร่กระจายของโบท็อกซ์เข้าไปยังระบบประสาทส่วน กลาง(สมอง) ซึ่งแต่เดิมไม่มีใครทราบว่ายานี้จะสามารถกระจายจากตำแหน่งที่ ฉีดบริเวณผิวหนัง เข้าไปยังระบบประสาทส่วนกลางได้

ข้อมูลจากนักวิจัยระบบประสาทที่สถาบันวิจัยแห่งชาติอิตาลี (National research council's institute of Neuroscience, Consiglio Nazionale delle Ricerche) พบว่าการฉีด botulinum เข้าไปที่ผิวหนังที่ใบหน้าของหนูทดลอง พบว่ายาส่วนหนึ่งสามารถกระจายตัวเข้าไปถึงบริเวณ ก้านสมองของหนูทดลองได้ นอกจากนี้สารพิษนี้ยังสามารถคงอยู่ในสมองของหนูทดลองได้นานนับ 6 เดือน และยังสามารถกระจายไปยังส่วนอื่นของสมองได้อีกด้วย และเมื่อนำสมองของหนูทดลองมาตรวจวิเคราะห์ก็พบว่ามีการเสื่อมสลายของโปรตีนในก้านสมองของหนูทดลอง แต่อย่างไรก็ตามในปัจจุบันยังไม่ พบอันตรายในระดับนี้จากการฉีดในคน (ปริมาณการใช้ยาถือว่าตํ่ากว่าระดับที่เป็นพิษอยู่มาก)

สมาคมแพทย์ความงามในประเทศสหรัฐอเมริกาต้องการให้มีการยืนยัน ผลการวิจัยดังกล่าวข้างต้นให้หนักแน่นกว่าที่อธิบายมาและเชื่อว่าผลข้างเคียงของโบท็อกซ์ มักเกิดเนื่องจากการฉีดผิดตำแหน่ง หรือฉีดในปริมาณที่เกินกว่าที่ควรจะได้รับต่อการฉีดหนึ่งครั้ง (หนังตาตกหรือหน้าไร้ความรู้สีก) มากกว่าเกิดจากตัวยาเอง

ถึงตอนนี้แล้วคุณคงทราบแล้วว่า "สวยด้วยยาพิษ" คงไม่เกินความเป็นจริง และคงทราบแล้วว่าแม้ว่าจะมีความปลอดภัยแค่ไหนแต่โอกาสเกิดผลข้างเคียงจากการได้รับสารพิษตัวนี้ก็ยังมีอยู่ ตังนั้นก่อนใช้สารตัวนี้จึงควรทำความเข้าใจถึงอันตรายและผลข้างเคียงเหล่านี้ไว้ด้วยเสมอ.
อ่านต่อ... “ สวยด้วยสารพิษ [Botox] ”

เครื่องดื่มสุขภาพแนวใหม่ จากอินเดีย

วันจันทร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2553

ในขณะที่หน่วยงานจากรัฐบาลและกลุ่มผู้รักสุขภาพในประเทศไทยพยายามรณรงค์ให้เด็กและผู้ใหญ่หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำอัดลม ประเทศเพื่อนบ้านในทวีปเอเชียอย่างอินเดียก็ไม่ยอมนิ่งเฉยกับป้ญหานี้เช่นกัน ถึงขนาดคิดจำหน่ายเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ แนวใหม่ตีตลาดแข่งกับบริษัทน้ำอัดลมรายใหญ่ของโลกภายในสิ้นปีนี้ด้วยการชูส่วนผสมที่ไม่มีใครเหมือนนั่นคือ ปัสสาวะวัว!

นาย Om Prakash หัวหน้าพิทักษ์วัวของกลุ่มอนุรักษ์ ความเชื่อแบบฮินดู Rashtriya Swayamsevak Sangh (RSS) ที่เป็นต้นความคิดนี้ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า ตามความเชื่อ ทางศาสนาฮินดู เราจะบูชาและเคารพวัวมาก ดังนั้นปกติชาวบ้าน ก็จะนำมูลของวัวมาใช้ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว เช่น ทำเชื้อเพลิง ยาฆ่าเชื้อ ร่วมถึงปัสสาวะวัวที่นำมาประกอบพิธีกรรมทางศาสนา แสดงถึงความสะอาดและบริสุทธิ์ ซึ่งนับตั้งแต่ปี ค.ศ.2001 ทางกลุ่มได้เผยแพร่ให้นำปัสสาวะวัวมาเป็นส่วนหนึ่งในการรักษา โรคตับ โรคอ้วนจนถึงโรคมะเร็ง และปีนี้ทางกลุ่มก็คิดผลิต เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของปัสสาวะวัว เพื่อแย่งชิงตลาดนํ้าอัดลม ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก

ทั้งนี้นาย Om รับประกันว่าเครื่องดื่มนี้ไม่มีกลิ่นเหม็นอย่าง ที่เข้าใจ แต่จะมีรสชาติอร่อยและมีประโยชน์ต่อสุขภาพเนื่องจาก จะเติมยาแผนโบราณและสมุนไพรลงไปด้วย แถมยังมีราคา ถูกกว่านํ้าอัดลมอีกด้วย!

นับว่าเป็นสูตรเครื่องดื่มอายุรเวชแนวฟ้งก์ชันที่มีจุดขาย แบบไม่มีใครเหมือนจริงๆ แต่เรื่องรสชาติและประโยชน์ตาม ที่อ้างขอ no comment ค่ะ...

อ้างอิง http://www.timesonline.co.uk/tol/life_and_style/food_and_drink/article5707554. eceThe times
อ่านต่อ... “ เครื่องดื่มสุขภาพแนวใหม่ จากอินเดีย ”

การเตรียมตัวก่อนพบหมอ

วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2552


เป็นที่ทราบกันดีว่าอัตราส่วนของแพทย์กับคนเจ็บป่วยในประเทศไทยนั้นไม่สมดุลกันอย่างมาก ทำให้เฉลี่ยแพทย์มีเวลารักษาคนไข้คนละประมาณไม่กี่นาที... เพื่อบริหารเวลาอันจำกัดที่ได้พบหมอให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดเรามีวิธีเตรียมพร้อมมากฝากดังนี้

1. บอกอาการให้คุณหมอฟังอย่างละเอียด
ไม่ใช่การคาดเดาหรือวินิจฉัยอาการตนเองให้คุณหมอฟัง ซึ่งอาจจะทำให้คุณหมอสับสน ส่วนคนที่ปรึกษาคุณหมอเพื่อขอความเห็นที่สอง คุณจำเป็นต้องเล่าอาการหรือความผิดปกติตั้งแต่แรกให้คุณหมอฟังอย่างละเอียดเช่นกัน

2. ซื่อสัตย์ต่อตนเองและคุณหมอ
ถึงคราวต้องยอมรับความจริงว่าคุณกำลังไม่สบาย ดังนั้นข้อมูลใดที่มีประโยชน์ต่อการรักษาก็ควรบอกให้หมดเพราะนั่นอาจเป็นตัวช่วยในการรักษาที่ถูกต้องและตรงจุดมากขึ้น

3. คนในครอบครัว-เพื่อนรอบกาย ที่พึ่งยามยาก
หาคุณต้องการที่ปรึกษา คุณสามารถพาคนในครอบครัวหรือเพื่อนเข้าไปช่วยฟังอีกแรง

4. พกผลการตรวจไปด้วยเสมอ
หากคุณมีผลตรวจจากห้องแล็ป ฟิล์มเอกซเรย์ CT Scan MRI ฯลฯ ที่เป็นประโยชน์ต่อการรักษาให้นำติดตัวไปด้วยทุกครั้ง เพื่อคุณหมอจะวินิจฉัยได้ทันที จะได้ไม่ต้องเสียเวลาและเสียค่าใช้จ่ายในการตรวจซ้ำอีกครั้ง ในกรณีที่ต้องย้ายการรักษาไปโรงพยาบาลอื่น ก็ควรขอถ่ายสำเนาแฟ้มประวัติเก็บไว้

5. ฝึกจำชื่อสามัญทางยา
คนจำนวนมากไม่รู้จักชื่อสามัญทางยาที่ตนเองกิน ทำให้เกิดความสับสนการจ่ายยามาก ดังนั้นเพื่อสุขภาพของตนเองคุณควรจำชื่อสามัญทางยา ขนาดยาและความถี่ของยาที่กินอยู่ หรือพกซองยานั้นติดตัวไปด้วยทุกครั้ง และที่สำคัญอย่าลืมจดบันทึกยาที่แพ้และแจ้งหมอด้วยทุกครั้ง

6. จดทุกคำถามที่อยากรู้
ระหว่างรอนัดพบแพทย์ ให้คุณจดทุกคำถามที่อยากรู้เกี่ยวกับโรคหรืออาการที่สงสัยในสมุดบันทึก เพื่อให้คุณหมอแนะนำและให้ความรู้ในการป้องกันและรักษาที่ถูกต้อง

คำแนะนำเบื้องต้นเป็นการเตรียมพร้อมตนเอง จะช่วยให้ประหยัดเวลาของแพทย์และเสริมสุขภาพของตนเองได้อย่างน่าทึ่งทีเดียว
อ่านต่อ... “ การเตรียมตัวก่อนพบหมอ ”

แพทย์ผิวหนังเตือน...ระวังกระแสคลั่งยาและเทคนิคปรับลีลาชีวิต

วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2552


จากกระแสของวัยรุ่นและผู้ใหญ่ที่อยากมีผิวใสและ ไรริ้วรวยเหี่ยวย่น จนเกิดการทดลองผลิตภัณฑ์และเทคนิคต่างๆ ที่อาจเป็นอันตราย ซึ่งสำนักงานคณะกรรมกาอาหารและยาแพทย์โรคผิวหนัง ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมมาธิการสาธารณสุขสภาผู้แทนราษฎร ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่าการมีผิวขาวจัดนั้นไม่เหมาะกับคนไทยที่อยู่ในภูมิอากาศที่มีแสงแดดจัดทั้งปี เนื่องจากเม็ดสีใต้ผิวหนังจะทำหน้าที่ป้องกันแสงแดดตามธรรมชาติ ทั้งนี้คนผิวขาวจะมีเม็ดสีขนาดเล็กทำให้ได้รับผลเสียจากแสงแดดมากกว่า ซึ่งผลเสียที่เกิดทันที ได้แก่ ผิวไหม้แดด ผิวคล้ำลงโรคเอสแอลอีที่มีอาการปวดข้อและมีผื่นแดงรูปปีกผีเสื้อที่แก้ม สิว เริม ฝ้า-กระเข้มขึ้น ผลเสียระยะยาวคือ ผิวเหี่ยวแก่ และมะเร็งผิวหนัง ดังนั้นสีผิวตามธรรมชาติผิวของคนไทยจึงสวยและเหมาะสมกับการดำรงชีวิต ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนตนเองให้สวย-หล่อตามกระแส J-Pop หรือ K-Pop

นอกจากนี้ นพ.ประวิตร ยังพบว่าปัจจุบันมีการใช้ยาและเทคนิคปรับลีลาชีวิตค่อนข้างมาก (lifestyle drugs) เช่น ยาปลูกผม ยาลดไขมัน ยาทำให้ผิวขาว ยาฉีดลบรอยย่น (สารพิษ โบทูลินัม) ซึ่งบางคนคลั่งอยากรับการฉีดสารพิษโบทูลินั่ม (Botulinophilia) เนื่องจากการเกิดความผิดปกติทางจิตใจที่เรียกว่า Body dysmorphic disorder โดยจะกังวลว่าตนเองมีความผิดปกติของผิวหนัง หรืออวัยวะไม่ได้สัดส่วน บางคนกังวลเรื่องผมบาง ขนดก รูขุมขนโต ผิวไม่ขาว หน้าเหี่ยวย่น ฯลฯ แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ พบอาการซึมเศร้ารุนแรงบ่อยและมีแนวโ้น้มจะฆ่าตัวตายสูง

ดังนั้นแพทย์จึงต้องวินิจฉัยผู้ป่วยที่คลั่งการใช้ยาและเทคนิคลีลาชีวิตให้ได้เร็วที่สุด ห้ามให้การรักษาโดยพลการจ่ายยา ผ่าตัด หรือใช้เทคนิคการเสริมความงามอื่นๆ เพราะจะยิ่งเป็นการตอกย้ำให้ผู้ป่วยมั่นใจว่าตนเองมีความผิดปกติทางรูปลักษณ์จริง และขาดโอกาสในการได้รับการเยียวยาทางจิตใจ

พูดง่ายๆ ว่าทั้งแพทย์และคนรับการรักษาต้องร่วมมือกันอย่างแข็งขัน ปัญหาเหล่านี้จะได้ลดลงจากสังคมไทย

บทความ Health Today Thailand
อ่านต่อ... “ แพทย์ผิวหนังเตือน...ระวังกระแสคลั่งยาและเทคนิคปรับลีลาชีวิต ”

 
 
 

Followers

Sponsor